เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 8 ก.ค. 2557 ร.ต.ท.ประสาน กันทาปวง พนักงานสอบสวน สภ.ชุมแสงสงคราม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก รับแจ้งเหตุไฟไหม้บ้านพักประชาชน หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ พ.ต.ท.นิติกรณ์ ค้ำจุน สว.สภ.ชุมแสงสราม และ พ.ต.ท.เกตุชัย นาสอน หัวหน้าพนักงานสอบสวน ผู้บังคับบัญชารับทราบ พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 6 พิษณุโลก และรถดับเพลิงจาก อบต.ชุมแสงสงคราม จำนวน 2 คัน รุดไปช่วยฉีดน้ำสกัดเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้ ที่บ้านเลขที่ 39 หมู่ 11 บ้านยิ่งเจริญ ต.คุยม่วง อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง ไฟได้เผาผลาญบ้านวอดหมดเกือบทั้งหลัง และยังพบรถไถ ยี่ห้อคูโบต้า สีแดง-ส้ม รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ ภายในบ้านถูกไฟไหม้เสียหาย เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลากว่า 30 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้
เบื้องต้นประเมินค่าเสียหายไว้ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจำนวน 1 ราย ทราบชื่อต่อมา คือ นางลั่นทม เกิดปั้น อายุ 40 ปี ภรรยา นายชัชชัย เกิดปั้น อายุ 46 ปี เจ้าของบ้าน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทางญาติได้ช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลบางระกำไปก่อนหน้านี้แล้ว
จากการสอบสวน น.ส.ปรียาภรณ์ เกิดปั้น อายุ 16 ปี ลูกสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บ เปิดเผยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า สาเหตุของไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจาก เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นางลั่นทม ผู้เป็นแม่ ซึ่งป่วยเป็นโรคประสาท และอาการเกิดกำเริบขึ้น จึงจุดไฟเผารถไถที่จอดอยู่ใต้ถุนบ้าน จากนั้นได้วิ่งขึ้นไปจุดไฟเผาบนตัวบ้าน จนเกิดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งขณะเกิดเหตุ นายชัชชัย ผู้เป็นพ่อ ได้ออกไปทำไร่ทำนา มีตนอยู่กับแม่เพียงลำพังเท่านั้น และตนกำลังพักผ่อนอยู่บนบ้านพอดี จึงเข้าห้ามปรามแม่ แต่กลับถูกแม่ถือมีดขู่ว่าห้ามเข้ามายุ่ง และไล่ให้ตนลงบ้านไป หลังจากนั้นตนจึงรีบวิ่งลงไปบอกกับญาติ และฝ่าเปลวไฟเข้าไปช่วยเหลือแม่ แต่พบว่าแม่ได้ใช้เชือกไนล่อนผูกคอตัวเองกับราวตากผ้าหลังบ้าน เพื่อหวังฆ่าตัวตาย จนญาติต้องช่วยกันแก้เชือกนำร่างลงมา แล้วรีบพากันหนีออกจากกองไฟ ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลดังกล่าว
น.ส. ปรียาภรณ์ ลูกสาวผู้ได้รับบาดเจ็บ เปิดเผยอีกว่า แม่ของตนเองป่วยด้วยโรคประสาท และไม่ได้เดินทางไปรับยาที่โรงพยาบาลมานานแล้ว จนขาดยารักษาอาการอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้เคยคิดสั้นฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าครั้งนี้จะลงมือก่อเหตุถึงขั้นรุนแรงขนาดนี้ได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งสอบสวน เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของคดีนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง.
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊คเทศบาลตำบลพันเสา