อดีตครูหันมาทำเกษตรผสมผสานตามรอยพ่อที่อ.บางระกำ

ที่สวนสรณ์ภิชญาน์ หมู่ 4 ต.ท่านางงาม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก แหล่งเรียนรู้การทำสวนเกษตรผสมผสาน บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ เดินตามศาสตร์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่สอนให้ใช้เพียงชีวิตแบบพอเพียง และเพียงพอ พร้อมแบ่งปันให้คนในชุมชนและรอบข้าง ของ “อาจารย์แจ๊ค”หรือ นายอนุสรณ์ จันทวงศ์ อายุ 31 ปี ครูหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ค้นพบตัวเองว่าแท้จริงแล้วการทำสวนเกษตรพอเพียง คือสิ่งที่ตอบโจทย์ในตัวเองได้มากที่สุด จึงวางมือจากการเป็นข้าราชการครู ที่สอนวิชาศิลปะ มาจับจอบจับเสียม ทำเกษตรผสมผสานอย่างเต็มตัว เริ่มต้นจาก 0 จากไม่เป็นอะไรเลยไม่มีความรู้ด้านเกษตรเลย อาศัยเพียงใจรัก จึงลงมือศึกษาอย่างจริงจัง จนถึงวันนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ สร้างรายได้ต่อเดือน 25000-30000 บาท

อาจารย์แจ๊ค ได้บอกว่า เริ่มต้นคือย้อนไปเมื่อปี 2553 ได้เข้ารับราชการครู สอนวิชาศิลปะ อยู่ที่ โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม ปี 2554 เริ่มสนใจเรื่องเกษตรผสมผสาน ตามแนวหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงเริ่มต้นศึกษาอย่างจริงจัง โดยการไปดูงานจากสวนต่างๆ ทั่วประเทศ แล้วนำมาปรับใช้ในสวนของบรรพบุรุษ บนพื้นที่ 20 ไร่เศษ ที่ปล่อยทิ้งร้างมานานกว่า 30 ปี จนตัดสินใจวางมือจากอาชีพครูหันมาจับสวนเกษตรแบบผสมผสานอย่างเต็มตัว เมื่อ 2 ปี ที่ผ่านมา ในสวนของตนปลูกมัลเบอรี่ ทั้งสายพันธุ์ไทย และต่างประเทศ แต่ 90% จะเป็นพันธุ์ต่างประเทศ มีทั้งสายพันธุ์ ไต้หวันแม่ช่อ ไต้หวันกลิ่นสตอเบอร์รี่ ไวท์คิงส์ออสเตรเลีย เรดคิงส์ออสเตรเลีย ดำออสตุรกี เรดฟอริด้า นอกจากนี้ยังปลูกฝรั่งไต้หวัน ตะขบยักษ์ มะเดื่อฝรั่ง ไผ่กิมซุง ไผ่ดำ มะกรูดหวาน และมะนาวหวาน โดยใช้ความรู้จากศิลปะงานออกแบบที่ตนถนัดมาประยุกต์กับความพอเพียงตามแนวในหลวงรัชกาลที่ 9 ออกมาเป็นสวนเกษตรผสมผสานได้อย่างลงตัว แต่เดิมพื้นที่ตรงนี้เป็นสวนเก่าของครอบครัวที่ปล่อยร้างมานานกว่า 30 ปี เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ จึงต้องทำการขุดร่องน้ำเพื่อนำดินมาถมด้านบนสำหรับปลูกต้นไม้ต่างๆ โดยในร่องน้ำก็นำปลากินพืช เช่นปลานิล ปลาสวาย ปลาจาระเม็ด มาเลี้ยงแบบธรรมชาติ โดยนำสาหร่ายหางกระรอกมาปล่อยไว้ให้ปลากินเป็นอาหาร เจริญเติบโตรวดเร็ว โดยไม่ต้องเลี้ยงอาหารเลย สำหรับต้นมัลเบอรี่ที่ปลูกไว้ก็แทบไม่ต้องดูแลอะไรเลยเพราะรากเขาสามารถดึงน้ำได้จากร่องน้ำได้เอง จะดูแลพิเศษก็ตอนที่มัลเบอรีติดผล นกชอบมาจิกกิน ต้องใช้วิธีนำผ้าลี่สีแดง มาเย็บเป็นถุงคลุมไว้ จนกว่าผลจะเปลี่ยนสีเป็นสีแดงแล้วค่อยเอาออก เพราะจากการศึกษาพบว่านกจะกลัวสีแดง จึงใช่ถุงตาข่ายที่แดงมาส่วมห่อกันนกและวางไว้บริเวณต้นมัลเบอร์รี่เพื่อป้องกัน ลดความเสียหาย

อาจารย์แจ๊ค ได้บอกต่ออีกว่า ในสวนบนพื้นที่ 20 ไร่เศษ จะแบ่งเป็น 2 แปลงคือ แปลงปลูกสำหรับขายต้นพันธุ์เป็นหลัก และขายผลผลิตเป็นรอง ต้นพันธุ์จะทำการเสริมราก ทาบกิ่ง ด้วยต้นเอง ถ้าขนาดไซส์ใหญ่แบบสามารถลงดินปลูกได้เลย ราคาจะอยู่ที่ 3,500 ขึ้นไปจะใช้เวลาทาบกิ่งประมาณ เดือนครึ่งถึง 2 เดือน จะทำตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งเข้ามา ส่วนต้นเล็กก็จะมีตั้งแต่ราคา 300 บาทขึ้นไป พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ

ส่วนผลมัลเบอรี่ที่แก่สามารถเก็บรับประทานได้ เป็นผลผลิตสายพันธุ์ต่างประเทศกว่า 90% เช่นพันธุ์ไวท์คิงส์ออสเตรเลีย ผลจะหวานมีกลิ่นหอมเหมือนน้ำผึ้ง มีกลิ่นเหมือนน้ำหอมอ่อนๆ ส่วนสายพันธุ์ไต้หวันแม่ช่อ รสชาติจะหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย รสชาติอร่อย ขนาดผลถ้าเจริญเต็มที่จะมีความยาวถึง 15 ซม. ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ ก็จะมีความหวานที่แตกต่างกันไป โดยผลผลิตเหล่านี้สายพันธุ์นอกแต่ขายในราคาไทย ที่คนทั่วไปซื้อทานได้ ถ้าเป็นกิโลกรัม ก็จะอยู่ที่กกละ 300 บาท นอกนั้นก็จัดแบ่งเป็นกล่องมีหลายราคา โดยจะมีวางขายที่ตลาดนัดเกษตรอินทรี โรงพยาบาลพุทธชินราช ทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยพอขาย เพราะลูกค้าจะสั่งจองออเดอร์ไว้ซะส่วนใหญ่

ลูกค้าส่วนใหญ่ ก็จะมีหลายประเภท เพราะมัลเบอรี่เองก็มีหลายสายพันธุ์ แต่ล่ะสายพันธุ์ก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกัน ลูกค้าเองก็จะมีทั้งนิยมซื้อกิ่งไปปลูกเพื่อรอผลรับประทาน บางรายก็ซื้อไปตกแต่งสวนหรือประดับสวน บางรายก็ซื้อไปประดับตามร้านกาแฟ หรือตามรีสอร์ท ส่วนลูกค้าที่มีเชื้อสายจีน หรือแถว จ.นครสวรรค์ ก็จะซื้อมัลเบอรี่สายพันธุ์ ดราก้อนมัลเบอรี่ หรือพันธุ์มังกรไปเสริมเรื่องดวงหรือโหวเฮ้ง ตามความเชื่อของคนจีน ว่าเหมือนมีมังกรอยู่หน้าบ้านเพราะสายพันธุ์นี้จะมีลำต้นคดงอเหมือนตัวมังกรนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีไผ่ดำ ที่ตลาดกำลังเติบโต ไผ่ดำเหมาะสำหรับการนำไปปลูกประดับ ร้านกาแฟ โรงแรมรีสอร์ท เพื่อสร้างบรรยากาศ จะเหมาะที่สุด เพราะเป็นไผ่หายาก ไผ่ชนิดนี้ต้นจะไม่โตมาก สูงเพียง 6-7 เมตร เท่านั้น ก็จะขุดแยกเหง้าขายในราคาต้นละ 500 บาท แต่ถ้าสั่ง 2 ต้นขึ้นไปจะอยู่ที่ราคา ต้นละ 300 บาทเท่านั้น ทุกประเภทมีบริการจัดส่งทั่วประเทศ

อาจารย์แจ๊ค ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ที่ตนตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการครู มาทำสวนเกษตรผสมผสานตามหลังพอเพียงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้สอนไว้ เพราะตนอยากจะเป็นตัวอย่างให้เกษตรกรมีหลักที่ถูกต้องในการทำการสวนเกษตร ที่ต่างจากเกษตรกรในยุคเดิมๆ จึงได้เริ่มต้นลุยมาตั้งแต่ 0 จนถึงวันนึงเราค้นพบว่าเราทำทั้ง 2 อาชีพได้ ทั้งครู ทั้งเกษตร แต่ตนเลือกที่จะทำในสิ่งที่ให้ความสุขกับเรามากที่สุด “ความสุขของผมชอบแบบนี้ ชอบธรรมชาติ ชอบเกษตร อยู่แบบสันโดด ถึงแม้จะลาออกจากอาชีพครู แต่ผมไม่เคยเลิกเป็นครู ทุกวันนี้สวนสรณ์ภิชญาน์ ของผม มีไว้เพื่อเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่าง ให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป หรือแม้แต่เกษตรกรชาวสวนเอง ได้เข้ามาศึกษา ขั้นตอนทุกอย่างที่ผมทำ ผมพร้อมจะให้ความรู้ในทุกเรื่องจากประสบการณ์จริง ที่ผมได้ศึกษา ได้ทดลอง ได้เรียนรู้มา ผมยินดีถ่ายทอดให้กับทุกคนที่ต้องการมาศึกษาดูงาน ถ้าสนใจ สามารถติดต่อสอบถามได้ทางหมายเลขโทรศัพท์ 094-6109933 สวนสรณ์ภิชญาน์ ยินดีต้อนรับ”

แสดงความคิดเห็น