จักษุแพทย์เตือนภัยยิงแสงเลเซอร์ไล่นก พลาดเข้าตาถึงขั้นมองไม่เห็น

วันที่ 4 ต.ค.2564  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า  Yingpan Tarawatcharasart หรือ นพ.ยิ่งพันธุ์ ธาราวัชรศาสตร์ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก ได้ออกมาโพสต์เพื่อเตือนภัยและเป็นอุทาหรณ์กรณีมีผู้ป่วยรายหนึ่ง เป็นผู้ชายอายุ 23 ปี ใช้อุปกรณ์ยิงแสงเลเซอร์แบบในภาพ เพื่อไล่นกที่เกาะตามบ้าน แล้วเผลอกดยิงเข้าที่ตาตัวเอง มีอาการมองไม่เห็น บริเวณกลางภาพเป็นสีดำ เมื่อตรวจดูก็พบว่ามีจุดรับภาพไหม้เป็นจุดสีขาวดังรูป ปัจจุบันเราพบว่าอุปกรณ์ยิงแสงเลเซอร์มีขายทั่วไปในท้องตลาด มีหลายสี หลายความเข้มข้นแสงส่วนมากมักใช้เป็น pointer ชี้บนจอภาพขณะบรรยาย , เอามาไล่นก , ส่วนเด็กๆ ก็ชอบซื้อมาเล่นกัน แกล้งยิงใส่กัน ยิงใส่ตากัน ส่วนสถานบันเทิงหรือคอนเสิร์ท ก็ใช้เลเซอร์ในการแสดงให้ดูสวยงามน่าตื่นเต้น จักษุแพทย์พยายามเน้นย้ำเสมอว่าแสงเลเซอร์เหล่านี้มีอันตรายต่อดวงตา อาจทำให้จอประสาทตาบวม มีเลือดออก เกิดรูรั่ว หรือรอยไหม้ที่ทำให้ตามัวถาวร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นแสง ความเข้มข้นแสง ระยะเวลาที่ได้รับแสง และตำแหน่งที่แสงเลเซอร์ยิงเข้าในดวงตา The American National Standards Institute จำแนกแสงเลเซอร์เป็น 4 ระดับ เช่น แสงสีส้มแดง ไม่เกิน 1mWเป็น class II แสงสีเขียวน้ำเงิน ไม่เกิน 5mWเป็นclass III ซึ่งแสงเลเซอร์ใน class3 และ 4 ถือว่ามีอันตรายรุนแรงต่อดวงตาและผิวหนัง สำหรับเคสนี้เป็นเลเซอร์สีเขียวความเข้มข้นสูง class III ทำให้เกิดจุดไหม้บริเวณกลางจุดรับภาพพอดี ทำให้ตามัวค่อนข้างมาก หากเป็นไปได้ผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีแสงเลเซอร์ หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์เลเซอร์เหล่านี้ โดยเฉพาะเด็กๆ เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ และเคสแบบนี้มีจำนวนไม่น้อยเลยครับ ซึ่งภายหลังมีการเผยแพร่ข้อความดังกล่าวออกไป ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็น และแชร์เรื่องราวเตือนภัยของแสงเลเซอร์ออกไปเป็นจำนวนมาก

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสอบถามไปยัง นพ.ยิ่งพันธุ์ ธาราวัชรศาสตร์ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า ผู้ป่วยที่มารักษานั้นมีอาการตามัวที่ดวงตาข้างซ้าย มีประวัติเกี่ยวกับการใช้เลเซอร์ยิงไล่นก แต่เผลอไปกดยิงถูกดวงตาได้ประมาณ 2 วันแล้ว ทำให้มีอาการตามัวข้างซ้ายมองอะไรไม่เห็นเลย โดยเฉพาะบริเวณกลางภาพที่เพ่งมอง เมื่อทำการตรวจจอประสาทตาพบว่ามีจุดสีขาว คือ รอยไหม้เนื่องจากเลเซอร์ที่จอประสาทตา ซึ่งเป็นจุดรับภาพที่สำคัญที่สุดในจอประสาทตา อาการค่อนข้างรุนแรงเนื่องจากผู้ป่วยมองอะไรไม่เห็นเลยในส่วนของกลางภาพ ซึ่งจะต้องรักษาอย่างต่อเนื่องและตรวจดูว่ามีการอักเสบหรือบวมของจอประสาทตามากน้อยแค่ไหน ในเมืองไทยจะพบเจอเคสผู้ป่วยลักษณะเช่นนี้ไม่ค่อยบ่อยนัก ส่วนใหญ่ที่พบจะมีอาการแสบดวงตานิดหน่อย แต่เคสที่หนักแบบนี้เพิ่งพบเป็นครั้งแรก ส่วนเลเซอร์ที่วางขายตามตลาดนัดทั่วไปนั้นมีความเข้มของแสงหลากหลาย ถ้าเลเซอร์ที่มีกำลังมากกว่า 5 ไมโครวัตต์ ถือว่าค่อนข้างรุนแรงอันตรายมากๆ เมื่อยิงถูกดวงตาอาจจะทำให้เกิดความเสียหายถาวรกับจอประสาทตาได้ ส่วนการรักษาจักษุแพทย์จะต้องฉีดสีดูว่าจอประสาทตาบริเวณนั้นมีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน และรักษาด้วยการผ่าตัดควบคู่กันไป ซึ่งจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 3 เดือน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละเคสด้วย แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นแสงเลเซอร์ความเข้มข้นเท่าไร จักษุแพทย์แนะนำว่าไม่ควรมองเลเซอร์ทุกชนิดไม่ว่าความเข้มข้นจะน้อยหรือมากเท่าไรก็ตาม จึงอยากจะฝากเตือนประชาชนทั่วไปหากไม่มีความจำเป็นก็ไม่ควรใช้เลเซอร์ในชีวิตประจำวัน ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือทำงานในโรงงานที่เกี่ยวข้องกับเลเซอร์ควรใส่แว่นที่มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อป้องกันแสงเลเซอร์ได้.

/////////////

แสดงความคิดเห็น