พิษณุโลกเกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในอุโบสถวัดศรีรัตนาราม(จูงนาง) ขณะที่กำลังมีพิธีฌาปนกิจศพอยู่ ทำให้ชาวบ้านและพระภิกษุสงฆ์รีบมาช่วยกันขนย้ายสิ่งของด้านในกันอย่างอลหม่าน เนื่องจากเป็นโบสถ์ที่ประดิษฐานหลวงพ่อหน้าทอง พระพุทธรูปโบราณเก่าแก่ ของวัดหน้าทอง วัดร้าง ในราวปี พ.ศ.2318
เมื่อเวลา 16.30 น.วันที่ 16 กันยายน 2567 พ.ต.ท.สันตสิริ เมตตาวงศ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งจากประชาชนว่าพบเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งภายในวัดศรีรัตนาราม(จูงนาง) ม.5 ต.ท่าทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงประสาน รถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลท่าทอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยสมาคมกู้ภัยข่าวภาพ เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ในที่เกิดเหตุภายในอุโบสถวัดศรีรัตนาราม มีควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากด้านใน ซึ่งขณะเกิดเหตุที่มีคนพบเห็นประตูอุโบสถได้ปิดล็อคไว้ พลเมืองดีจึงได้ไปตามคณะกรรมการวัดให้รีบมาเปิดอุโบสถ เมื่อเปิดประตูได้แล้วพบว่าด้านในมีควันสีดำจำนวนมาก รถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลท่าทอง จึงได้เร่งฉีดน้ำสกัด พร้อมเปิดประตูด้านหลัง และหน้าต่าง ใช้พัดลมระบายกลุ่มควันออก
ตรวจสอบด้านในพบว่าบริเวณโต๊ะหมู่บูชาด้านหน้าองค์พระประธาน พร้อมด้วยพรม และแท่นรองโต๊ะหมู่บูชา อาสนะสงฆ์ ไฟไหม้ได้รับความเสียหาย จึงเร่งฉีดน้ำและรื้อพรมออกทั้งหมด พร้อมกับขนย้ายพระพุทธรูป หนังสือสวดมนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาด้านนอก พร้อมฉีดน้ำสกัดที่บริเวณองค์พระประธาน แท่นนั่งสวนมนต์ ประตูอุโบสถด้านหลัง เพื่อป้องกันความร้อนและเพลิงลุกไหม้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงและกลุ่มควันไว้ได้
นายศตรายุ กล้าหาญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ท่าทอง ได้บอกว่าขณะนั้นกำลังเป็นช่วงเวลาเลิกเรียน และมีพิธีฌาปนกิจศพอยู่ มีคนวิ่งไปตามว่ามีควันสีดำออกมาจากภายในอุโบสถ ตนจึงรีบวิ่งมาดูก็พบว่ควันมีจำนวนมากแต่เปิดประตูไม่ได้ จึงประสานคณะกรรมการวัดมาเปิด และเรียกรถดำเพลิง พร้อมแจ้งกู้ภัยเข้าทำการตรวจสอบดังกล่าว
ด้านนายบุญเกิด บัวคำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ท่าทอง ได้บอกว่าโบสถ์นี้ไว้สำหรับบรรพชาอุปสมบท สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2516 ด้านในประดิษฐานหลวงพ่อหน้าทอง ที่ย้ายมาจากวัดหน้าทองวัดเก่า ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นวัดศรีรัตนาราม(วัดจูงนาง)ในปัจจุบัน คาดสาเหตุน่าจะเกิดจากเทียนพรรษาที่จุดไว้ด้านใน
พระครูสังฆรักษ์ บุญเลี่ยม โกวิโท รองเจ้าอาวาสวัดศรีรัตนาราม(จูงนาง) ได้บอกว่า ปกติ 16.30 น.พระภิกษุสงฆ์จะต้องมาทำวัดเย็นกันที่นี่ทุกวัน แต่วันนี้ติดงานฌาปนกิจเลยไม่ได้มา คาดว่าเมื่อวานที่ทำวัตรกันอาจจะดับเทียนไม่สนิทหรือไส้เทียนอาจจะติดขึ้นมา คาดว่าสาเหตุเกิดจากเทียนพรรษาคู่นี้ ที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ ส่วนเรื่องความเสียหาย ก็มีโต๊ะหมู่บูชาหน้าพระประธาน อาสนะ พรม และและแท่นไม้นั่งสวดมนต์ถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหาย ส่วนองค์พระประธานไม่ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ แต่มีควันที่ทำให้องค์พระประธานหมองลงเล็กน้อย จากนี้ก็จะเร่งทำความสะอาด ซ่อมแซมด้านในให้กลับมาเหมือนเดิม
สำหรับวัดจูงนาง หรือวัดศรีรัตนารามแห่งนี้ มีคติชนพื้นบ้าน เล่าขานสืบต่อกันมายาวนาน ว่า วัดแห่งนี้ชื่อว่าวัดหน้าทอง ( มีหน้าบันอุโบสถ ทำด้วย ทองคำ มี เศรษฐี ท่านหนึ่งในชุมชนแห่งนี้.มีลูกสาวสาวงาม มีกุศลศรัทธาสร้างถวาย) ในภายหลัง ได้มี “ พระราชา “ องค์หนึ่ง ได้เกิดมาชอบและขอลูกสาวของเศรษฐี แต่สาวไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะแต่งงานด้วย จึงให้ทหารลากจูงนาง มาลงเรือเพื่อกลับเมือง จนนางกลั่นใจขาดใจตาย คือที่มาของคำว่า จูงนาง พระราชา จึงได้สร้างที่เผานาง ด้วยความเสียดายและเสียใจยิ่ง จึงโปรดให้สร้าง “ วัด “ เป็นอนุสรณ์ คือ วัดจูงนาง หรือ. วัดหน้าทอง ซึ่งอยู่ติดกัน กับ วัดจูงนาง ในปัจจุบัน
ในภายหลัง หลวงพ่อไซ่ ธมฺมกาโม ( พระครูศรีรัตนาภรณ์ พระเกจิอาจารย์ดังขมังเวทย์เมืองพิษณุโลก ) ได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดจูงนาง ที่ รกร้างมายาวนาน จากภัยสงคราม นับแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึง ศึกอะแซหวุ่นกี้ ตีเมืองพิษณุโลกใน ปี พ.ศ. 2318 -2319 แล้วจึงสร้างอุโบสถหลังใหม่ของวัดจูงนาง ขึ้นในราวปี พ.ศ.2513 จึงได้ย้ายพระประธาน หลวงพ่อหน้าทอง จากซากโบสถเก่า วัดหน้าทอง ในประดิษฐาน ในอุโบสถใหม่ วัดจูงนาง เรียกกันว่า หลวงพ่อหน้าทอง มาจนทุกวันนี้