พิษณุโลก น้ำท่วมยังน่าห่วง สะสมเอ่อล้นท่วมบ้าน ที่ทำกินประชาชน

สถานการณ์น้ำท่วมจ.พิษณุโลก ยังน่าห่วง หลังพายุ “หนองฟ้า” ทำให้ฝนตกหนักบนเทือกเขาเพชรบูรณ์ ปริมาณฝนสะสมมากกว่า 200 มิลลิเมตร ก่อให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำหลายอำเภอในจังหวัดพิษณุโลก พร้อมกับระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักหลายสายพุ่งแตะจุดวิกฤติ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนเป็นวงกว้าง

เช้าวันนี้ (1 ก.ย. 2568) นายชาญชัย คมานิคม นายอำเภอวังทอง ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ ในลำน้ำเข็ก (แม่น้ำวังทอง) ตรวจเยี่ยมมอบสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอวังทอง พบว่าระดับน้ำที่จุดวัดระดับท่าข้าม ม.5 ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก ลดระดับลงจากเมื่อวานนี้บ้างแล้ว แต่ในหลายๆ พื้นที่ของอำเภอวังทองยังมีน้ำท่วมขัง รถยนต์ไม่สามารถสัญจรได้ ต้องใช้เรือท้องแบนสัญจรไปมา ทั้งนี้”พายุหนองฟ้า”ทำฝนตกหนักส่งผลให้ระดับน้ำในลำน้ำเข็ก (แม่น้ำวังทอง) เพิ่มสูง ท่วมพื้นที่การเกษตร บ้านเรือนประชาชนในหลายตำบลของอำเภอวังทอง

 

อำเภอวังทองได้รายงานข้อมูลปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำในลำน้ำเข็ก หรือแม่น้ำวังทอง ข้อมูลเวลา 08.30 น. พบว่าปริมาณฝนที่ตกลงมาในหลายพื้นที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยจุดวัดที่ว่าการอำเภอวังทองวัดได้ 7.8 มม. จุดวัดสะพานน้ำเข็ก ต.วังนกแอ่น วัดได้ 13 มม. และที่บ้านท่าโปร่ง ต.ชัยนาม วัดได้มากถึง 31 มม. สำหรับระดับน้ำในแม่น้ำวังทองนั้น หลายจุดมีปริมาณน้ำสูงใกล้แตะหรือเกินจุดวิกฤติแล้ว เช่น จุดวัดที่บ้านท่าโปร่ง ม.4 ต.ชัยนาม ระดับน้ำอยู่ที่ 8.40 ม. เกินจุดวิกฤติที่กำหนดไว้ 8 ม. ขณะที่บ้านวังทอง ม.1 ต.วังทอง วัดได้ 9.27 ม. เกินจุดวิกฤติ 9 ม. และบ้านวังปะดู่ ม.1 ต.วังพิกุล วัดได้ 8.60 ม. เกินจุดวิกฤติ 8 ม. ส่วนพื้นที่ต้นน้ำที่ ต.หนองแม่นา อ.เขาค้อ วัดได้ 5.10 ม. ใกล้แตะจุดวิกฤติที่ 6 ม. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำกำลังทะลักลงมาอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น

ต่อมาเวลา 10.38 น.เจ้าหน้าที่กู้ภัยบูรพา พร้อมอาสาสมัครกู้ภัยบูรพา อาสาสมัครบรรเทาวังทอง ทีมสมาคมตอบโต้ภัยพิบัติจังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียงขึ้นชั้นสองของตัวบ้าน เนื่องจากมีปริมาณน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่บริเวณบ้าน จุดเกิดเหตุ บ้านวังน้ำเย็น ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก

 

สถานการณ์น้ำท่วมแบ่งเป็น 2 โซนใหญ่ โซนแรก เป็นโซนที่ได้รับผลกระทบล่าสุดจากพายุ “หนองฟ้า” น้ำป่าจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ไหลลงสู่ลำน้ำสายสำคัญ ได้แก่ ลำน้ำภาค ลำน้ำแควน้อย ลำน้ำเข็ก ลุ่มน้ำชมพู และลุ่มน้ำปาด ส่งผลให้เกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำของ อ.ชาติตระการ อ.นครไทย อ.วังทอง อ.เนินมะปราง และ อ.บางกระทุ่ม สร้างผลกระทบต่อบ้านเรือน ถนนสายหลัก-สายรอง และพื้นที่การเกษตรจำนวนมาก

โซนที่สอง เป็นโซนที่รับผลพวงจากพายุ “คาจิกิ” ก่อนหน้านี้ ทำให้น้ำจาก จ.สุโขทัย ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ อ.บางระกำ อ.พรหมพิราม และ อ.เมืองพิษณุโลก โดยน้ำทั้งจากแม่น้ำยมสายเก่าและสายปัจจุบันถูกผันลงสู่ “ทุ่งบางระกำโมเดล” เพื่อช่วยบรรเทาและกักเก็บน้ำไว้ให้ได้มากที่สุด จนทำให้ระดับน้ำใน จ.สุโขทัยเริ่มมีแนวโน้มลดลงในขณะที่น้ำจากทุกลุ่มน้ำต้องระบายลงสู่ปลายทางเดียวกันคือ “แม่น้ำน่าน” ซึ่งปัจจุบันอยู่ในภาวะวิกฤติ โดยการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนนเรศวร ทำให้ระดับน้ำที่ไหลผ่าน จ.พิษณุโลกสูงมากถึง 8.91 เมตร ปริมาณน้ำไหลผ่านกว่า 955.90 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งอยู่ในระดับเฝ้าระวังขั้นสีส้ม และใกล้แตะระดับวิกฤติสีแดงเต็มที ความน่าห่วงคือเขตเศรษฐกิจในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกและพื้นที่ จ.พิจิตร ที่เสี่ยงถูกน้ำท่วมขัง หากการระบายน้ำไม่เป็นไปตามที่วางแผน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยทหารจากกองทัพภาคที่ 3 รวมถึงกรมชลประทาน ได้ระดมสรรพกำลังลงพื้นที่ ทั้งการช่วยเหลือประชาชน การสำรวจความเสียหาย และการจัดการระบายน้ำอย่างใกล้ชิด โดยมีการใช้ข้อมูลน้ำแบบรายชั่วโมงเพื่อควบคุมการจราจรทางน้ำ และพยายามเร่งผลักดันน้ำออกสู่แม่น้ำน่านให้ได้เร็วที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีการเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมระวังโรคน้ำกัดเท้า โรคระบาดที่มากับน้ำท่วม รวมถึงอันตรายจากสัตว์มีพิษที่อาจมากับกระแสน้ำ ทั้งงู ตะขาบ และแมงป่อง ขณะเดียวกันยังต้องระวังการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าและกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

 

 

แสดงความคิดเห็น