ชุมชนบ้านวังส้มซ่า ปลูกต้นส้มซ่า แปรรูป “ม้าฮ่อส้มซ่า” อาหารว่างไทยโบราณ ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ศูนย์เรียนรู้บ้านวังส้มซ่า ม.1 ต.ตำบล ท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลก พิษณุโลก นางเผอิญ พงษ์สีชมพู อายุ 74 ปี ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านวังส้มซ่า พร้อมด้วยสมาชิก ได้โชว์เมนูเปิดปาก รสแซปลิ้น ตามแบบฉบับของคนโบราณ หรือที่คนสมัยใหม่จะเรียกว่า อาหารว่าง หรือ ออเดิร์ฟ โดยจุดเด่นที่รื้อฟื้นเมนูนี้ขึ้นมาเนื่องจาก วัตถุดิบต่าง ๆ มีส่วนผสมของส้มซ่า ซึ่งมีเพียงที่บ้านวังส้มซ่าแห่งนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เพราะเอกลักษณ์เฉพาะตัวของที่นี่ คือทุกบ้านจะปลูกส้มซ่ากันหมด เพราะส้มซ่ามีประโยชน์มากมาย ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเป็นสมุนไพร สมัยก่อนปลูกเยอะ แต่พอพืชผลอื่น ๆ เข้ามา ส้มซ่าก็หายไป มีหมู่บ้านแห่งนี้ที่ยังปลูกกันอยู่ ตอนนี้ราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 35 บาท

นางเผอิญ พงษ์สีชมพู ได้บอกว่า ด้วยบ้านวังส้มซ่าแห่งนี้ได้เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้บ้านวังส้มซ่า ให้ประชาชนทั่วไป หน่วยงานต่างๆ นักเรียนนักศึกษา ได้มาเรียนรู้ตามฐานต่างๆ อาทิ การทำเครื่องสำอางจากส้มซ่า ลูกประคบ อาหาร เครื่องดื่มและอื่นๆ โดยทุกอย่างจะต้องมี ส้มซ่า เป็นส่วนประกอบ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ของดีของหมู่บ้านเอาไว้ พอมีคนมาเรียนรู้มากขึ้น ทางชุมชนเองก็อยากให้นักท่องเที่ยวได้ชิมอาหารไทยโบราณ ต่างๆ จึงได้หยิบเมนู “ม้าฮ่อ” ซึ่งเป็นเมนูอาหารว่างไทยโบราณ คนไทยโบราณจะเรียกว่า เมนูเปิดลิ้น หรือเมนูเปิดปาก ส่วนคนสมัยใหม่ก็เรียกกันว่า ออเดิร์ฟ หรือ อาหารว่างนั่นเอง

โดยวิธีการทำคือจะต้องทำไส้ม้าฮ่อก่อน โดยมีส่วนผสมคือ น้ำส้มซ่าคั้น ถั่วลิสงบด น้ำตาลมะพร้าว ไชโป้เค็มหั่นเต๋า และน้ำเปล่า เริ่มด้วยการนำน้ำตาลมะพร้าวมาตั้งไฟให้ละลาย เติมน้ำเปล่าลงไป ค้นให้เข้ากัน แต่ห้ามคนบ่อยเพราะไส้จะตกทราย จากนั้น นำถั่วลิสงบด ไชโป้ ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน และตามด้วยน้ำส้มซ่าคั้นตั้งด้วยไฟกลาง ใช้เวลากวนประมาณ 15 นาที ทิ้งไว้ให้ไส้เย็นสนิท จากนั้นก็จะไปเก็บผลส้มซ่า ที่แก่จัดมาปอก แต่เคล็ดลับการปอกต้องใช้มีดถึง 3 เล่มด้วยกัน มีดเล่มแรก จะใช้ปอกเปลือก(ผิว)สีเขียวของส้มซ่าออก มีดเล่มที่ 2 จะใช้ปอกเปลือกสีขาวออกเท่านั้น และมีดเล่มที่ 3 จะใช้ฝานส้มซ่าตามแนวขวางของลูกเป็นแผ่นขนาดพอดีคำ จากนั้นก็น้ำไส้ม้าฮ่อที่เย็นแล้วมาหยอดบนแผ่นส้มซ่าที่หั่นไว้ เติมพริกสดหั่นและใบผักชีลงไป โดย 1 ชิ้นจะได้ 1คำเท่านั้น รสชาติจะกลมกล่อม เปรี้ยวจากส้มซ่า หวานจากน้ำตาลมะพร้าว มันจากถั่วลิสง และเค็มจากไชโป้ เป็นเมนูเปิดปากของคนไทยสมัยโบราณที่หาทานได้ยาก และจะเพิ่มความอร่อยได้มากขึ้นคือต้องทานคู่กับชาส้มซ่าร้อนๆนั่นเอง โดยทางศูนย์ฯ จะจัดเป็นเช็ทที่หลากหลาย ให้สำหรับผู้ที่มาเรียนรู้ที่ศูนย์ได้เลือกทาน ในราคาเซ็ทเริ่มต้นแค่หลักสิบบาทเท่านั้น และเครื่องดื่มต่างๆ ก็ราคาเพียงแก้วละ 20-30 บาทเท่านั้น

นางเผอิญฯ เล่าต่ออีกว่าส่วนที่มาของคำว่า ม้าฮ่อ นั้นเกิดจากคนสมัยโบราณ ที่ส่วนใหญ่จะปลูกผลไม้ต่างๆไว้ ประกอบกับสมัยก่อนนั้นไม่มีตู้เย็นหรือตู้แช่ คนโบราณเลยคิดที่จะหาอาหารว่างสำหรับไว้ต้อนรับแขก โดยทำการกวนไส้ไว้และสามารถเก็บไว้ได้นานหลายเดือน โดยไม่ต้องใส่ตู้เย็นใดๆ ทั้งนั้น เมื่อเวลามีแขกบ้านแขกเมืองมาเยือนที่เรือน ก็แค่ไปเก็บผลไม้ในสวนที่เป็นผลไม้รสเปรี้ยว ไม่ว่าจะเป็น ส้ม สับปะรด มะม่วง ส้มซ่า หรืออื่นๆ มาหั่นพอดีคำและนำไส้ม้าฮ่อมาไส้ ก็สามารถเสิร์ฟรับแขกได้รวดเร็วทันใจ ดั่งกับม้าฮ่อ นั่นเอง

นอกจากนี้ศูนย์เรียนรู้บ้านวังส้มซ่า ยังมีเครื่องดื่มที่ใช้น้ำส้มซ่าเป็นส่วนผสมด้วย อาทิ กาแฟส้มซ่าสีสันสดใส จะประกอบไปด้วยน้ำมะม่วงห้าวมะนาวโห่ที่ผสมกับน้ำเชื่อมไว้ ลงเป็นชั้นล่างในแก้ว จากนั้นเทน้ำส้มซ่าคั้นลงไปเป็นชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 เป็นกาแฟดำ เวลาทานสามารถเลือกได้ว่าอยากจะชิมรสชาติไหนก่อน หรือจะคนรวมกันแล้วดื่มก็จะได้เครื่องดื่มรสใหม่ที่ได้ความสดชื่นควบคู่กับรสกาแฟไปด้วย หรือหากใครไม่ดื่มกาแฟก็จะเป็นเมนูน้ำพันซ์ส้มซ่า โดยใช้น้ำผลไม้ ผสมกับโซดา แล้วเติมน้ำส้มซ่าคั้นลงไป ก็จะสดชื่นดับกระหายได้เป็นอย่างดี เมนูเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของชาวชุมชนที่ช่วยกันรักษาเอาไว้ไม่ให้เลื่อนหายไป และให้นักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัส

นอกจากนี้ผลส้มซ่า และใบส้มซ่า ยังถูกต่อยอดไปทำผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง ที่สบู่ ครีมทาผิว สมุนไพร และอีกมากมาย ถือเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ประสบความสำเร็จจากการนำวัตถุดิบของชุมชนมาต่อยอดจนเป็นที่รู้จัก มีนักท่องเที่ยวแวะเข้ามาดูงานที่ศูนย์การเรียนรู้บ้านวังส้มซ่าเป็นจำนวนมาก สำหรับใครที่อยากจะมาเรียนรู้ที่ศูนย์ จะมาเป็นครอบครัว เป็นกรุ๊ปทัวร์ ตามศูนย์เรียนรู้บ้านวังส้มซ่า ก็สามารถติดต่อนัดจองคิวล่วงหน้าได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 087-5710552

/////////////////////////

 

 

แสดงความคิดเห็น